เป้าหมายของการรักษาโรคเบาหวานก็คือการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ ซึ่งการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดนี้เอง ที่เป็นแนวทางที่นำมาใช้ทั้งในการป้องกันและรักษาโรคเบาหวาน และการป้องกันหรือลดความเสี่ยงในการเป็นเบาหวานนั้น มีความสำคัญพอ ๆ กันกับการรักษาโรคเบาหวานด้วย เนื่องจากการประมาณพบว่าจำนวนผู้ที่มีภาวะก่อนเป็นเบาหวาน (prediabetes) นั้นอาจจะมีจำนวนมากเท่ากับจำนวนผู้ป่วยโรคเบาหวานเลยก็ได้
ก่อนที่เราจะคุยเรื่องการระวังรักษาโรคเบาหวานนั้น้ เราจำเป็นต้องรู้ถึง สาเหตุของโรคเบาหวาน เสียก่อน โดยเบาหวานเกิดจาก เบตาเซลล์ (Beta cells) ของตับอ่อนที่มีหน้าที่ผลิตฮอร์โมนอินซูลินถูกทำลายโดยระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ทำให้ตับอ่อนไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้ หรือ ตับอ่อนมีความผิดปกติ ทำให้การหลั่งฮอร์โมนอินซูลินมีน้อยเกินไป หรือ มีไม่เพียงพอ นอกจานี้ยังเกิดจากภาวะการดื้นอินซูลินของเซลล์เนื้อเยื่อได้อีกด้วย ดังนั้น ยาที่ใช้ในการรักษาโรคเบาหวานจึงออกฤทธิ์ผ่านกลไกต่างๆ ดังนี้
- เพิ่มปริมาณอินซูลินในเลือดโดยตรง เช่น ยาฉีด
- กระตุ้นให้ตับอ่อนสร้างอินซูลินมากขึ้น
- ทำให้เซลล์เนื้อเยื่อตอบสนองต่ออินซูลินได้มากขึ้น
- ลดน้ำตาลในเลือด หรือ ลดการดูดซึมของน้ำตาล (คาร์โบไฮเดรต) หรือ ยับยั้งการสร้างกลูโคส
“ปัจจุบันพบว่ามีคนเป็นโรคเบาหวานประมาณ ร้อยละ 3 ของประชากร และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยโรคเบาหวานเป็นสาเหตุสำคัญอันดับแรกที่ทำให้เกิดโรคไตวายเรื้อรัง และทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนอื่นๆด้วย จัดได้ว่าโรคเบาหวานเป็นปัญหาการสุขภาพที่สำคัญระดับประเทศเลยทีเดียว”
นอกจากจะมีการรักษาโรคเบาหวานตามแนวทางการรักษาของแพทย์แผนปัจจุบันยัง ยังมีแพทย์ทางเลือก และมีการใช้สมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สำหรับรักษาโรคเบาหวาน กันอย่างแพร่หลาย และมีจำนวนมากด้วย ทั้งนี้การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ก็ควรเลือกใช้อย่างระมัดระวัง เนื่องจาก หากใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน อาจจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำจนเกินไป จึงควรที่จะสังเกตอาการ และปรับขนาดให้เหมาะสม
นอกจากนี้ ยาที่ใช้เพื่อรักษาโรคเบาหวานนั้นมีหลายชนิด ทั้งนี้ในฐานะที่ผู้ป่วยจะต้องกินยานั้นเป็นประจำก็ควรทราบข้อมูลของยาที่กินด้วย เพื่อประโยชน์ของตัวเอง ได้แก่
- ยานั้นชื่ออะไร กินครั้งละเท่าไหร่ มีลักษณะรูปร่าง และสีของเม็ดยาเป็นอย่างไร
- ควรกินยานั้นเวลาไหน เช่น ก่อนหรือหลังอาหาร และยาที่กินมีผลข้างเคียงอะไร และแก้ไขได้อย่างไร
- ปริมาณสูงสุดของยาที่กิน ไม่ควรกินเกินวันละเท่าไหร่
- ข้อห้ามหรือข้อควรระวังต่างๆในการใช้ยา หรือ การใช้ยาร่วมกับยาโรคอื่นๆ
ยาเม็ดสำหรับรักษาโรคเบาหวาน
ยารักษาโรคเบาหวาน กลุ่มที่ออกฤทธิ์ทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemic drugs)
- ยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย (Sulfonylureas): เช่นยา อะซีโตเฮกซาไมด์ (Acetohexamide), คลอร์โพรพาไมด์ (Chlorpropamide), โทลาซาไมด์ (Tolazamide), ไกลเมพิไรด์ (Glimepiride), ไกลพิไซด์ (Glipizide), ไกลเบนคลาไมด์ (Glibenclamide) หรือ อีกชื่อคือ ไกลบูไรด์ (Glyburide)
ยาในกลุ่มนี้รับประทานวันละ1-2 ครั้ง โดยยาจะออกฤทธิ์กระตุ้นตับอ่อนให้ผลิตอินซูลินเพิ่มขึ้น และมีอาการข้างเคียงที่พบได้บ่อย ได้แก่ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ผื่นที่ผิวหนัง แน่นท้อง ดังนั้นข้อควรจะปฏิบัติเมื่อกินยากลุ่มนี้ จึงควรจะพกน้ำผลไม้ หรืออาหารพวกแป้งติดตัว และกินอาหาร การออกกำลังกายให้ตรงเวลา
- ยากลุ่มที่ไม่ใช่ซัลโฟนิลยูเรีย (Non – sulfonylureas หรือ Glinides หรือ Meglitinides): เช่นยา รีพาไกลไนด์ (Repaglinide), นาทิไกลไนด์ (Nateglinide), มิทิไกลไนด์ (Mitiglinide)
ยารักษาโรคเบาหวาน ที่ออกฤทธ์ต้านการเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด (Antihyper glycemic drugs)
- ยากลุ่มไบกัวไนด์ (Biguanides): เช่นยา เมทฟอร์มิน (Metformin)
ยาเมทฟอร์มิน จะรับประทานวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น ยาชนิดนี้จะออกฤทธิ์ลดการสร้างน้ำตาลจากตับ ผลข้างเคียงของยาอาจจะทำให้เกิดอาการ แน่นท้อง เบื่ออาหาร การรับประทานพร้อมอาหารจะลดอาการข้างเคียงของยา สำหรับผู้ที่เป็นโรคตับ หรือโรคไต อาจจะเกิดภาวะกรดในเลือด
- ยากลุ่มไธอะโซลิดีนไดโอน (Thiazolidinediones): เช่นยา ไพโอกลิทาโซน (Pioglitazone)
ยากลุ่มนี้จะช่วยเพิ่มการตอบสนองของร่างกายต่ออินซูลิน ทำให้ร่างกายสามารถนำอินซูลินไปใช้ได้ดีขึ้น โดยไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำผิดปกติ แต่เนื่องจากยากลุ่มนี้อาจสามารถส่งผลเสียต่อตับ จึงควรหมั่นตรวจเลือดเพื่อดูค่าเอนไซม์ตับเป็นประจำ เพื่อเฝ้าระวังการทำงานของตับที่ผิดปกติ
ยารักษาโรคเบาหวาน กลุ่มที่ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่ย่อยสลายคาร์โบไฮเดรตในลำไส้
- ยากลุ่มที่ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์อัลฟ่ากลูโคซิเดส/เอนไซม์ยับยั้งการย่อยสลายคาร์โบไฮเดรตในลำไส้ (Alpha – glucosidase inhibitor) เช่นยา อะคาร์โบส (Acarbose), โวกลิโบส (Voglibose), ไมกลิทอล (Miglitol)
ยากลุ่มนี้เป็นยาที่นำมาใช้รักษาผู้ป่วยเบาหวานโดยลดการดูดซึมสารอาหารที่ลำไส้เล็กส่วนต้น สามารถลด FPG ได้16-20 มก.% ลด HbA1c ได้ 0.59 % และลดน้ำตาลหลังอาหาร [post prandrial glucose] ได้ 51 มก.% มีอาการข้างเคียงที่พบได้บ่อย ได้แก่ ท้องอืด ท้องเดิน ปวดท้อง ควรเริ่มยาแต่น้อยเคี้ยวพร้อมอาหาร
ยารักษาโรคเบาหวาน ในกลุ่มอินครีตินฮอร์โมน (Incretin hormones) Incretin mimetics
(อินครีตินฮอร์โมน สร้างจากลำไส้เล็กเพื่อกระตุ้นการหลั่งอินซูลินเมื่อมีการบริโภคอาหาร)
- ยากลุ่มที่ออกฤทธิ์เลียนแบบการทำงานของฮอร์โมน Glucagon (Glucagon-like peptide-1 receptor agonists ย่อว่า GLP-1 receptor agonist) เช่นยา เอ็กซีนาไทด์ (Exenatide)
ยารักษาโรคเบาหวาน กลุ่มที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ Dipeptidyl peptidase
เอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการย่อยสลายของน้ำตาล Glucose (Dipeptidyl peptidase-4 Inhibitor, DPP-4 Inhibitor)
- ยากลุ่มนี้เป็นยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเอนไซม์ dipeptidyl peptidase 4 มีผลให้ร่างกายหลั่งอินซูลินออกมามากขึ้น การนำยากลุ่มนี้มาใช้เพิ่มในผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทที่ 2 จะไม่ทำให้เกิดภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ(hypoglycemia) ไม่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม และยังอาจส่งผลดีต่อระดับคอเลสเตอรอล (cholesterol) ในเลือด เช่นยา วิลดากลิปติน (Vildagliptin), ซิตากลิปติน (Sitagliptin), แซกซ่ากริปติน (Saxagliptin), ลิน่ากลิปติน (Linagliptin)
ยากลุ่มใหม่ซึ่งเป็นยาออกฤทธิ์ควบคุมการดูดซึมกลับของน้ำตาลกลูโคสบริเวณท่อไต
- ยากลุ่ม Sodium – glucose Cotransporter inhibitors (SGLT2 inhibitors): เช่นยา ดาพากลิโฟลซิน (Dapagliflozin), คานากลิโฟลซิน (Canaglifloziin), เอ็มพากลิโฟลซิน (Empagliflozin)
ยาฉีดอินซูลิน สำหรับรักษาโรคเบาหวาน
อินซูลินชนิดออกฤทธิ์สั้น (Short acting insulin หรือ Regular insulin, RI)
เช่น ยา แอ็คทราพิด (Actrapid®), ฮิวมูลินอาร์ (Humulin R®), เจ็นซูลินอาร์ (Gensulin R®)
อินซูลินชนิดออกฤทธิ์นานปานกลาง (Intermediate acting insulin หรือ NPH Insulin)
เช่น ยา ฮิวมูลินเอ็น (Humulin N®) อินซูลาทาร์ด (Insulatard HM® ) เจ็นซูลินเอ็น (Gensulin N®)
อินซูลินชนิดออกฤทธิ์นาน (Long acting insulin)
เช่น ยา ดีทีเมียร์ (Detemir), กลาร์จีน (Glargine)
อินซูลินชนิดออกฤทธิ์ไวมาก (Rapid acting insulin หรือ Ultrashort acting insulin)
เช่น ยา ลิสโปร (Lispro), แอสพาร์ท (Aspart), กลูไลซีน (Glulisine)
ข้อควรระวัง การใช้ยารักษาโรคเบาหวาน
การใช้ยาแผนปัจจุบันรักษาโรคเบาหวาน อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) (หน้ามืด ใจสั่น) ซึ่งอาจเกิดจากการกินอาหารไม่ตรงเวลา, กินอาหารน้อยกว่าปกติ, หรือเมื่อมีการออกกำลังกายมากกว่าปกติ, ซึ่งผู้ป่วยสามารถจัดการกับภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำนี้ได้เอง ด้วยการกิน ลูกอม น้ำผลไม้ น้ำหวาน หรือ กล้วย เพื่อเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งโดยทั่วไปแล้วอาการเหล่านี้ มักจะดีขึ้นภายในประมาณ 15 นาที แต่ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น ให้ลองกินเพิ่มซ้ำอีกครั้ง และถ้ายังไม่ดีขึ้น หรืออาการแย่ลง ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที
หากลืมกินยาเบาหวาน เมื่อเลยเวลาไป 1 – 2 ชั่วโมง ให้กินยาทันทีที่นึกได้ แต่ถ้านึกได้เมื่อใกล้มื้อต่อไป ให้กินยาของมื้อต่อไปตามปกติ โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่า
ผลข้างเคียงจากการใช้ยารักษาโรคเบาหวาน ที่พบได้บ่อยได้แก่
- ยากลุ่ม Sulfonylureas ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้บ่อย และน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
- ยากลุ่ม Glinides ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ปวดศีรษะ ปวดข้อ คลื่นไส้
- ยา Metformin ทำให้เกิดอาการ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย รู้สึกขมในปาก เบื่ออาหาร
- ยากลุ่ม Thiazolidinediones ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น บวมน้ำ เป็นพิษต่อตับ/ตับอักเสบ โลหิตจาง
- ยากลุ่ม Alpha – glucosidase inhibitor ทำให้เกิดอาการ คลื่นไส้ ปวดท้อง ท้องเสีย ท้องอืด มีลม/แก๊สในกระเพาะอาหารมาก ผายลมบ่อย
- ยากลุ่ม GLP-1 receptor agonist ทำให้ คลื่นไส้ อาเจียน น้ำหนักตัวลดลง
- ยากลุ่ม DPP-4 Inhibitor ทำให้ตับอ่อนอักเสบ เกิดผื่นจากการแพ้ยา
- ยากลุ่ม Sodium – glucose Cotransporter (SGLT2 inhibitors) ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ภาวะเลือดเป็นกรด(Metabolic acidosis) ภาวะขาดน้ำ และเป็นพิษต่อไต/ไตอักเสบ
- ยาฉีดอินซูลิน ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ น้ำหนักตัวเพิ่ม บวมน้ำ เกิดผื่นแพ้ยา และอาจเป็นรอยแดงบริเวณที่ฉีดยายา
- อินซูลินชนิดสูดพ่น ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ไอ ปวดศีรษะ ท้องเสีย คลื่นไส้
การใช้ยารักษาโรคเบาหวาน ร่วมกับยาชนิดอื่น (drug interaction)
- การใช้ยากลุ่ม Sulfonylureas ร่วมกับยาขับปัสสาวะ (ลดความดันโลหิต) อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น , และเมื่อใช้ร่วมกับยาลดความดันกลุ่ม ACE inhibitors หรือ ยาปฏิชีวนะกลุ่มซัลโฟนาไมด์ (Sulfonamides) อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง
- ระวังการใช้ยากลุ่ม Sulfonylureas ร่วมกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้เกิด ปฏิกิริยาไดซัลฟิแรม (Disulfiram-like reaction) คือ มีอาการ ใจสั่น หน้าแดง คลื่นไส้ อาเจียน และความดันโลหิตต่ำ
- กรณีฉีดอินซูลิน ไม่ควรฉีดยาซ้ำที่เดิมบ่อยๆ ควรเลื่อนตำแหน่งฉีดยาให้ห่างจากตำแหน่งหลังสุดประมาณ 1 นิ้ว เพราะการฉีดซ้ำที่เดิม อาจทำให้บริเวณที่ฉีดยาบุ๋มลง หรือบวมนูนขึ้น ส่งผลให้ยาถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้น้อยลง และไม่ควรนวดหรือคลึงบริเวณที่ฉีดยาหลังฉีดยาเสร็จแล้ว เพราะอาจทำให้ยาถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายเร็วเกินไป
- ยาฉีดอินซูลินมีทั้งชนิดที่เป็นน้ำใสที่เป็นชนิดออกฤทธิ์ไวมาก และชนิดน้ำขุ่นที่ออกฤทธิ์นานปานกลาง/ออกฤทธิ์นาน หากต้องการผสมยาทั้ง 2 ชนิด โดยใช้อินซูลินชนิดน้ำใส ผสมกับอินซูลินน้ำขุ่นเพื่อให้ได้ระยะเวลาออกฤทธิ์ตามที่ต้องการ ผู้ผสมต้องใช้กระบอกฉีดยาดูดอินซูลินชนิดน้ำใสก่อน แล้วจึงดูดชนิดน้ำขุ่นตามมา เพราะหากดูดชนิดน้ำขุ่นก่อน อาจส่งผลให้อินซูลินชนิดน้ำใสมีลักษณะและประสิทธิภาพเปลี่ยนไป
- ยาอินซูลินที่ยังไม่เปิดใช้ ต้องเก็บไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดา ห้ามเก็บในช่องแช่แข็ง เมื่อจะใช้จึงนำออกมาจากตู้เย็น คลึงขวดยาเบาๆบนฝ่ามือทั้งสองข้าง เพื่อให้ตัวยาผสมเข้ากันและมีอุณหภูมิใกล้เคียงกับร่างกาย เพื่อช่วยลดอาการปวดหลังจากฉีดยา
การใช้ยารักษาเบาหวานในหญิงตั้งครรภ์
ยารักษาโรคเบาหวานในหญิงตั้งครรภ์ที่แพทย์เลือกใช้ โดยปกติมักจะเลือกใช้ยาฉีดอินซูลิน เพราะเป็นยาที่ไม่สามารถผ่านรกเข้าไปในครรภ์ และยังควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีกว่ายาเม็ดรับประทาน (การใช้ยาเม็ดลดระดับน้ำตาลในเลือด สามารถผ่านรกเข้าไปในครรภ์ ส่งผลให้ทารกเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หรืออาจทำให้ทารกในครรภ์เกิดความพิการ)
การใช้ยารักษาเบาหวานในผู้สูงอายุ
การรักษาโรคเบาหวานในผู้สูงอายุ แพทย์จะพิจารณาจากสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย เนื่องจากผู้ป่วยอาจจะมีโรคประจำตัวหลายชนิด การใช้ยารักษาโรคเบาหวานในผู้ป่วยสูงอายุ จะเลือกใช้ยาที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุดที่จะทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ และเน้นให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น