ยาแก้แพ้ หรือ ยาต้านฮีสตามีน (Histamine) มี 2 กลุ่ม กลุ่มแรก หรือกลุ่มดั้งเดิมมีฤทธิ์ทำให้ง่วงซึม อยากนอน และ กลุ่มที่ไม่ทำให้ง่วงซึม ยาแก้แพ้ที่เราคุ้นเคยกันดีกับการใช้บรรเทาอาการหวัด ลดน้ำมูก ลดอาการคัน คงหนีไม่พ้นยาเม็ดกลมๆ เล็กๆ สีเหลืองบ้าง สีขาวบ้าง ที่มีชื่อเรียกทางการแพทย์ว่า “คลอร์เฟนิรามีน (Chlorpheniramine)” หรืออาจจะเรียกสั้นๆ ว่า ซีพีเอ็ม (CPM) หรือ คลอร์เฟน นั่นเอง
เหตุที่ได้รับความนิยมก็ด้วยมีราคาถูก มีความปลอดภัยสูง มีโอกาสแพ้ยา หรือเกิดผลข้างเคียงน้อย และหาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยาทั่วไป อย่างไรก็ดี หากอยู่ระหว่างตั้งครรภ์แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนใช้ยาทุกชนิด อีกทั้งมีรายงานว่า คลอร์เฟนิรามีนอาจไม่เหมาะกับหญิงที่อยู่ระหว่างให้นมมุตรเพราะตัวยาสามารถขับออกได้ทางน้ำนม
นอกจากยาคอลอร์เฟนิรามีนชนิดเม็ดที่เรารู้จักกันดีแล้ว ยังมีชนิดน้ำเชื่อมและชนิดฉีดด้วย ซึ่งแต่ละชนิดก็มีข้อบ่งใข้แตกต่างกันไป
- ยาแก้แพ้ชนิดน้ำเชื่อม เหมาะสำหรับเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 4 ปีลงไป แต่ไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 สัปดาห์เพราะจะทำให้เสมหะของเด็กเหนียวขับออกยาก
- ยาแก้แพ้ชนิดเม็ด จะเป็นชนิดที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะเมื่อเราเป็นหวัด มีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล จาม หรืออาจเกิดอาการแพ้อาหารทะเล มีผื่นคันขึ้นตามตัวคงต้องรับประทานยาแก้แพ้แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงต้องทนทุกข์กับความทรมานของอาการที่เกิดจากการแพ้

วิธีการกินยาแก้แพ้ที่ถูกต้อง
- ควรรับประทานยาแก้แพ้ วันละ 2-4 ครั้ง หรืออย่างน้อยหลังจากรับประทานยาแก้แพ้ครั้งแรกต้องรอให้ผ่านไปอีกประมาณ 6 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย จึงจะเริ่มรับประทานยาแก้แพ้ครั้งต่อไป
- ห้ามรับประทานยาแก้แพ้ร่วมกันกับเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือยาจำพวกระงับประสาทเด็ดขาด เพราะจะทำให้เพิ่มความง่วงนอนอย่างมาก
- การใช้ยาแก้แพ้เพื่อให้นอนหลับ แม้อาจมีประโยชน์ในผู้ป่วยที่มีอาการคันจนนอนไม่หลับ ผู้ป่วยบางโรคที่ต้องการพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูร่างกาย เช่น โรคหวัด ภูมิแพ้ แต่ไม่แนะนำให้ใช้ยาแก้แพ้เป็นยานอนหลับ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุของอาการนอนไม่หลับ นำไปสู่แก้ไขอย่างถูกต้อง
- หากรับประทานยาแก้แพ้เข้าไปแล้วแต่กลับมีอาการไอเพิ่มขึ้นมาก ควรหยุดรับประทานทันทีเพราะยาแก้แพ้จะทำให้เสมหะมีความเหนียวข้นมากกว่าเดิม
- ปริมาณการรับประทานยาแก้แพ้ชนิดเม็ด
- ในวัยผู้ใหญ่และเด็กอายุ 13 ปีขึ้นไป ควรรับประทานยาครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2-4 ครั้ง หรือทุก 4-6 ชั่วโมง
- เด็กที่มีอายุ 7-12 ปีควรกินครั้งละครึ่งเม็ด เด็กที่มีอายุ 4-7 ปี ควรกินครั้งละ 1 ใน 4 ของเม็ด
- ส่วนเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 4 ปี ต้องรับประทานยาแก้แพ้ชนิดน้ำเชื่อมเท่านั้นเพราะว่าถ้าหากเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 4 ปี รับประทานยาแก้แพ้เกินขนาดอาจทำให้เกิดอาการชักรุนแรงขึ้นได
ปริมาณการกินยาแก้แพ้ชนิดน้ำเชื่อม
- เด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี กินครั้งละครึ่งช้อนชา โดยต้องไม่มากไปกว่าวันละ 2 ครั้งต่อวัน
- เด็กอายุ 1-4 ปี กินครั้งละครึ่งช้อนชา โดยต้องไม่มากไปกว่าวันละ 3-4 ครั้งต่อวัน
- สำหรับเด็กอายุ 4-7 ปี รับประทานครั้งละครึ่งถึงหนึ่งช้อนชา วันละ 2-4 ครั้ง
6. การกินยาแก้แพ้ ห้ามเคี้ยว หรือบดตัวยาอย่างเด็ดขาด
การรับประทานยาแก้แพ้กลุ่มดั้งเดิมอย่างคลอร์เฟนิรามีนอาจทำให้เกิดอาการง่วงนอน เวียนศรีษะ ตาพร่ามัวได้ ดังนั้นหลังรับประทานจึงควรพักผ่อน หลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะ หรือทำงานเกี่ยวกับการใช้เครื่องจักร เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
สรรพคุณของยาแก้แพ้
- บรรเทาอาการหวัดคัดจมูก ลดน้ำมูก อาการจาม คันจมูกและคอ
- บรรเทาอาการแพ้ฝุ่นละเออง เกสรดอกไม้
- บรรเทาอาการคันและระคายเคืองจากสาเหตุต่างๆ